Pages

Thursday, July 2, 2020

ย้อนรอยประวัติศาสตร์เจ้าพ่อออฟโรด MERCEDES-BENZ G-WAGEN (G-CLASS) - ไทยรัฐ

sigappos.blogspot.com

ผู้ออกแบบหลักของ G-Wagen คือ Erich Ledwinka ซึ่งเคยทำงานทั้งกับ Steyr และ Tatra ผู้ผลิตรถยนต์ของเช็กโกสโลวาเกีย Ledwinka มีชื่อเสียงในฐานะวิศวกรผู้ประดิษฐ์แชสซี รวมถึงแนวคิดการพัฒนาเครื่องยนต์บ็อกเซอร์แบบระบายความร้อนด้วยอากาศที่ติดตั้งอยู่ด้านหลังรถ Porsche ซึ่งติดตั้งในยานยนต์ที่เรียกว่า Tatra V570  

ในปี 1973 รถ G-Wagen คันต้นแบบก็เสร็จสมบูรณ์พร้อมโมเดลไม้ที่ถูกใช้เป็นโครงรถ การทำงานที่ฉับไวแสดงให้เห็นถึงงานบริหารจัดการที่ดีของ Daimler-Benz พร้อมรถต้นแบบที่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยเครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง 6 สูบ ขนาด 2.3 ลิตร รถ G-Wagen ต้นแบบที่แล้วเสร็จในเดือนกันยายน 1974 เริ่มทำการทดสอบอย่างเข้มข้น การทดสอบอย่างหนักในสภาวะที่สุดขั้ว เพื่อปรับแต่งให้รถ G-Class คันต้นแบบ สามารถขับใช้งานในทุกสภาพถนนและสภาพอากาศ ไม่ว่าจะเป็นการขับทดสอบท่ามกลางความร้อนของกรวดและทรายในซาฮาราท่ามกลางอุณหภูมิที่สูงถึง 47 องศา การขับบนหิมะหรือน้ำแข็งท่ามกลางความหนาวเย็นสุดขั้วของอาร์กติก รวมไปการทดสอบในบ้านเกิดเมืองนอนของแบรนด์ ทั้งขับตะลุยบนถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่นและเข้าไปลุยดินโคลนบนเชิงเขาที่เต็มไปด้วยป่าสนของเยอรมนี

Mercedes-Benz รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อถูกเรียกว่า G-Wagen โดย “ G” หมายถึง “Geländewagen” (ซึ่งแปลว่า“ ยานพาหนะ off-road” หรือ “land wagon” เหมือนกับ Land Rover) ในออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ และตลาดยุโรปตะวันออกยานพาหนะ G-Wagen ถูกเรียกว่า “Puch G” ซึ่งสะท้อนถึงชื่อของบริษัทที่ทำการประกอบรถรุ่นนี้ ปี 1975 ขณะที่การทดสอบกำลังเดินหน้า Steyr-Daimler-Puch ได้เริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่ในเมืองกราซ ประเทศออสเตรีย ซึ่งจะทำการผลิต G-Wagen รุ่นใหม่ออกขาย สิ่งที่น่าสนใจก็คือการสร้าง G-Wagen ในยุคนั้นจะต้องใช้การประกอบด้วยมือเป็นหลัก ช่วงปลายปี 1975 กองทัพอิหร่านสั่งรถ G-Class จำนวน 20,000 คันเพื่อใช้งานในกิจการของกองทัพ ทั้งรูปแบบของรถลำเลียงพลหรือขนสัมภาระทางทหาร เป็นรถตรวจการณ์และการนำส่งทหารไปยังพื้นที่สงคราม

การผลิต G-Wagen นั้นถูกแบ่งระหว่าง Steyr-Daimler-Puch และ Mercedes-Benz ในส่วนของ Daimler Benz จะประกอบเครื่องยนต์ เกียร์ เพลาขับเคลื่อน และส่วนประกอบของชุดบังคับเลี้ยวหรือพวงมาลัย และบางส่วนของแชสซี สำหรับ Steyr-Daimler-Puch จะผลิตชุดเพลาส่งกำลังล้อหน้า หรือ transfer case

G-Wagen รุ่นแรกใช้พื้นฐานมาจากแชสซีออนเฟรมแบบดั้งเดิม ตัวถังถูกยึดติดกับแชสซี ใช้เพลาขับเคลื่อนสี่ล้อเหมือน Land Rover และ Toyota Land Cruiser ในยุคนั้น ทำให้มั่นใจได้ว่า G-Wagen จะมีระบบกันสะเทือนแบบอิสระที่แข็งแกร่งและทนทานต่อการใช้งานหนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการออกแบบให้ชิ้นส่วนชุดส่งกำลังที่เคลื่อนไหวนั้นถูกบรรจุอยู่ภายในเพลา การออกแบบแชสซีที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งรองรับแรงกดและแรงบิดตัวได้ดีขึ้น

เพลาขับติดตั้งดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมช่วงล่างแบบ trailing arm coil spring suspension ผลงานการออกแบบด้วยความเข้าใจ ทำให้ G-Wagen มีขีดความสามารถในการลุยโดยใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา ระยะห่างจากพื้นถึงใต้ท้องรถออกแบบให้สามารถลุยฝ่าหล่มโคลนหรือขับลุยทางวิบาก กระปุกเกียร์ในรุ่นแรกติดตั้งเกียร์ synchromesh แบบ 4 สปีด

ในปี 1979 Mercedes-Benz ผลิต G-Wagen รุ่น 460 โดยถูกนำเสนอด้วยทางเลือกเครื่องยนต์ที่หลากหลาย เช่น 230G ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินสี่สูบแบบแถวเรียง กำลัง 90hp ไปจนถึง 102hp ตามด้วยรุ่น 240GD เครื่องยนต์ดีเซลสี่สูบกำลัง 72 แรงม้า ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลของรุ่น 300GD วางเครื่องยนต์ดีเซล 5 สูบ กำลัง 80 แรงม้า  

ปี 1980 มีการแนะนำ G Wagen รุ่น 280GE ซึ่งติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินแบบแถวเรียง 6 สูบ กำลัง 150 แรงม้า สำหรับ Mercedes-Benz G-Class รุ่น 300 GD และ 280 GE ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกับพวงมาลัยเพาเวอร์เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน G-Wagen ถูกผลิตขึ้นทั้งรุ่นฐานล้อสั้นและฐานล้อยาว รูปแบบของตัวถังก็มีให้เลือกอย่างหลากหลาย บางรุ่นกระจกหน้ารถสามารถพับได้แบบรถจี๊ป กองทัพทั่วโลกสามารถซื้อ G-Wagen เวอร์ชั่นหัวเดี่ยวพร้อมกระบะท้ายแบบเปิดประทุน ทั้งแบบฐานล้อยาวและสั้น ในเดือนพฤศจิกายนปี 1980 G-Class รุ่นฐานล้อยาวและสั้นก็ถูกนำเสนอพร้อมกล่องตัวถังเพื่อให้บริการในกลุ่มรถตู้บรรทุกสินค้า

G-Wagen มีความสามารถในการปีนเขาสูง ขับด้วยมุมเอียงสูงถึง 54% ระยะห่างจากพื้นดินคือ 8.3 นิ้ว หรือ 21 เซนติเมตร (รุ่นล่าสุด G350d มีระยะห่างจากพื้นถึงใต้ท้องรถ 24 เซนติเมตร) มีมุมเข้าหา 36º และมุมจาก 27º น้ำหนักควบคุมต่างๆ จาก 3,814 ปอนด์ หรือ 1,730 กิโลกรัม เป็น 4,319 ปอนด์ หรือ 1,959 กิโลกรัม น้ำหนักบรรทุก 1,444 ปอนด์ หรือ 655 กิโลกรัม ถึง 2,028 ปอนด์ หรือ 920 กิโลกรัม นอกจากนี้ หลังคาถูกออกแบบมาเพื่อรับน้ำหนักได้อีกถึง 440 ปอนด์ หรือ 200 กิโลกรัม มีออปชั่นให้เลือกหากลูกค้าต้องการติดตั้งอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม เช่นพวงมาลัยเพาเวอร์และกล่องเครื่องมือที่ล็อกได้

ช่วงปลายปี ค.ศ. 1980 Mercedes-Benz G-Wagen ได้รับการอัปเกรดให้มีตัวเลือกเพิ่มเติม เช่น วินช์พร้อมสายเคเบิลด้านหน้า,  หลังคาสองชั้นเพื่อป้องกันความร้อนของดวงอาทิตย์ เพื่อให้ห้องโดยสารเย็นขึ้น ถังน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองขนาด 30 ลิตร ติดตั้งที่ด้านหลัง ตะแกรงป้องกันไฟหน้า และที่ปัดน้ำฝนสำหรับหน้าต่างด้านหลังของ G-Class รุ่นรถบรรทุกและรถตู้ เพื่อเพิ่มทัศนวิสัยขณะฝนตก นอกจากนี้ยังมีออปชั่นให้เลือก เช่น แร็คสำหรับยึดปืนไรเฟิล Steyr Mannlicher-Schönauer หรือปืนไรเฟิลกีฬาอื่นๆ ขณะออกล่าสัตว์

280GE และ 300GD ติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ตัวเลือกเพิ่มเติมเหล่านี้เพิ่มคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์มากมายให้กับ G-Wagen และขยายฐานลูกค้าที่มีศักยภาพอย่างมีนัยสำคัญ ในปี ค.ศ. 1981 มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเปลี่ยนฝาท้ายหรือประตูบานหลังแบบชิ้นเดียวที่เปิดออกด้านข้างโดยไม่ต้องออกแรงยกบานฝาท้าย (การออกแบบในลักษณะดังกล่าวทำให้การเปิดประตูบานหลังค่อนข้างกินพื้นที่พอสมควร) ปี ค.ศ. 1982 Mercedes-Benz 230G ถูกแทนที่ด้วยรุ่น 230GE ในตลาดส่วนใหญ่ โดย 230G นั้นออกจากสายการผลิตในปี 1986 โดย 230GE ที่เข้ามาแทน ถูกขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์เบนซินพร้อมระบบจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์แบบใหม่ล่าสุด เครื่องยนต์เบนซินรุ่นใหม่มีกำลัง อัปเกรดกำลังจาก 125 เป็น 155 แรงม้า ก่อนที่จะถอยกลับไปปรับแต่งเครื่องยนต์ให้มีกำลังแค่ 150 แรงม้า จากการบังคับใช้น้ำมันไร้สารตะกั่วของทางการ

หลังจากการแพร่หลายของออฟโรดทรงกล่อง Mercedes-Benz G-Class รุ่น 230GE กลายเป็นสัญลักษณ์ของกีฬามอเตอร์สปอร์ต ด้วยการวิ่งเข้าเส้นชัยในอันดับที่สองจากฝีมือการขับของ Jacky Ickx และ Claude Brasseur ในรายการแข่งลุยเส้นทางวิบากระดับโลกอย่าง Paris-Dakar Rally เมื่อปี 1982 ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของ Ickx และ Brasseur บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยอันตราย เกิดจากฝีมือการควบคุมรถที่ยอดเยี่ยม การประสบความสำเร็จในรถแข่ง G-Class รุ่น 230GE ซึ่งได้รับการปรับแต่งโดยใช้รถ G-Class จากโชว์รูม เป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของทีมแข่ง Mercedes รวมไปถึงประสิทธิภาพของ G-Wagen ที่ถูกปรับแต่งพิเศษ รถถูกทำให้เบาลงโดยการใช้ชิ้นส่วนอะลูมิเนียมเท่าที่จะเป็นไปได้ และยังได้รับการขัดเกลาแอร์โรไดนามิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบอากาศพลศาสตร์ (ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของ G-Class มาจนถึงทุกวันนี้) ด้วยการทดสอบค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศในอุโมงค์ลม ไม่เพียงแค่นั้น G-Class รุ่น 230GE ยังได้รับการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง กำลัง 220 แรงม้าอีกด้วย

ในปี ค.ศ. 1991 Mercedes-Benz G-Class รุ่น 460 ออกจากสายการผลิตแล้วแทนที่ด้วย G-Wagen Series-461 ซึ่งเริ่มผลิตในปี 1992 วิศวกรของ Mercedes-Benz ปรับความยาวฐานล้อถึงสามแบบให้ลูกค้าได้เลือกใช้ตามความต้องการ G-Wagen 461 มุ่งไปที่นักขับออฟโรดแบบมืออาชีพ และผู้ที่ต้องการยานพาหนะสำหรับใช้งานในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีความอเนกประสงค์และความสมบุกสมบันมากกว่ารถยนต์ทุกแบบในยุคนั้น

G-Class 461 มีออปชั่นพิเศษ ด้วยรถที่ติดตั้งแพ็กเกจสำหรับรองรับการขับบนภูมิประเทศที่ขรุขระทุรกันดาร สำหรับการส่งออกไปขายในต่างประเทศ แพ็กเกจนี้รวมถึงการติดตั้งล้ออะไหล่ที่ด้านในของรถเพื่อป้องกันความเสียหายขณะขับออฟโรดรวมไปถึงการโจรกรรม สำหรับการเติมน้ำมันเชื้อเพลิง มีการออกแบบเพื่อให้สามารถใช้เติมน้ำมันเชื้อเพลิงจากถังเชื้อเพลิงสำรอง 461 ยังมีคุณสมบัติการป้องกันไฟไหม้หญ้า เพื่อให้แน่ใจว่าท่อร่วมไอเสียที่มีอุณหภูมิสูงจะไม่ทำให้หญ้าแห้งใต้ท้องรถเกิดการติดไฟและอาจทำให้เกิดเพลิงไหม้ในสภาพอากาศที่ร้อนจัด เช่น แอฟริกาและออสเตรเลีย ซึ่งไฟไหม้ป่านั้นเริ่มต้นอย่างรวดเร็วและส่งผลให้เกิดภัยพิบัติเลวร้าย G-Wagen Series-461 ยังใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบใหม่ เพลาล้อหลังติดตั้งเฟืองท้ายดิฟล็อค differential ขยายความจุถังเชื้อเพลิงให้มากถึง 25 แกลลอน หรือ 96 ลิตร Series-461 230GE วางเครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง 122 แรงม้า กับรุ่น 290GD เครื่องยนต์ดีเซลไม่มีระบบอัดอากาศ กำลัง 95 แรงม้า ทั้งสองรุ่นติดตั้งเกียร์ธรรมดา 5 สปีด สำหรับ G-Wagen Military มีเพียงรุ่น 250GD ซึ่งติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 94 แรงม้า G-Class 230GE สิ้นสุดสายการผลิตในปี 1996 ส่วนรุ่น 290GD ถูกแทนที่ด้วยเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ 290GD Turbodiesel กำลัง 120 แรงม้า ซึ่งเดินทางมาถึงในปี 1998 แล้วขายต่อเนื่องไปจนถึงปี 2002

ในส่วนของ G-Wagen รุ่น 463 มีการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีใหม่ ระบบถุงลมนิรภัยและระบบเบรกป้องกันล้อล็อกถูกติดตั้งเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ รุ่นแรกของ 463 Series เป็นรุ่นอัปเกรดของ 230GE เน้นความสะดวกสบายและความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นหลัก

ด้วยความตระหนักว่า G-Wagen จะต้องขยายเข้าสู่ตลาดเฉพาะกลุ่มที่มีความแตกต่างและมีกำลังซื้อมหาศาล นั่นก็คือลูกค้ามหาเศรษฐีที่พร้อมจ่ายทันทีหากรถมีสมรรถนะที่ดีจริง รถ G-Wagen รุ่นใหม่จึงถูกส่งไปปรับแต่งในแผนกรถโดยสารส่วนบุคคลของ Mercedes-Benz ในปี 1989 G-Wagen ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น G-Class โดยทำการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ล่าสุดในงาน Frankfurt International Motor Show 1989 ในเดือนกันยายนของปีนั้น G-Wagen ซึ่งมีประโยชน์ใช้สอยนั้นติดตั้งแผงควบคุมจาก Mercedes 124 Series และงานตกแต่งภายในได้รับการตกแต่งด้วยไม้เพื่อเพิ่มความหรูหรา ที่นั่งได้รับการปรับปรุงอย่างมาก โดยปรับให้ลูกค้าสามารถเลือกสีเบาะได้อย่างหลากหลาย รวมไปถึงยังสามารถเลือกหนังที่จะใช้หุ้มเบาะได้อีกด้วย

Mercedes-Benz G-Class 463 พร้อมห้องโดยสารและอุปกรณ์ตกแต่งสุดหรู ถูกเปิดตัวในเดือนเมษายน ค.ศ. 1990 มีการวางจำหน่ายในสี่รุ่น คือ 230GE มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 126 แรงม้า, 300GE เครื่องยนต์เบนซิน 177 แรงม้า, 250GD เครื่องยนต์ดีเซล 94 แรงม้า และ 300GD เครื่องยนต์ดีเซล 113 แรงม้า เครื่องยนต์ดีเซลทั้งสองรุ่น ถูกแทนที่ด้วยเครื่องดีเซลรุ่นใหม่ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1992 โดยเปลี่ยนมาเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล กำลัง 136 แรงม้า ในรุ่น 350GD ระบบส่งกำลังติดตั้งเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ขับเคลื่อน 4 ล้อ ตามมาตรฐานโดยไม่มีตัวเลือกในรุ่นเกียร์ธรรมดา G350D รุ่นแรกสุดยังติดตั้งอุปกรณ์เสริม เช่น ฝาครอบล้อสเตนเลสของยางล้ออะไหล่ และระบบปรับตั้งและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control

ปี ค.ศ.1993 Series-463 G-Class ติดตั้งขุมกำลังแบบใหม่ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V8 ซึ่งยกมาจาก Mercedes-Benz 500GE กำลัง 241 แรงม้า นับเป็น G-Class รุ่นที่หรูหรามากพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติและซันรูฟไฟฟ้า รวมถึงเบาะนั่งแบบทูโทนและวัสดุตกแต่งตัวถังที่ทำมาจากสเตนเลสสตีล ในช่วงเวลานั้น Mercedes-Benz มีการปรับเปลี่ยนชื่อเรียกโมเดลต่างๆ ใหม่หมด ซึ่งต่อมา อักษรย่อที่หมายถึงโมเดลของรถ Mercedes-Benz ก็กลายเป็นมาตรฐานที่ถูกใช้อย่างต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ G-Class รุ่น 300GE ถูกเปลี่ยนเป็น G300 เทอร์โบดีเซล ส่วนรุ่น 350GD กลายเป็น G350 เทอร์โบดีเซล และ 500GE กลายเป็น G500 ซึ่งทำให้ลูกค้าจดจำโมเดลต่างๆ ของแบรนด์ตราดาวได้ง่ายกว่าเดิม

ในปี ค.ศ. 1995 G-Class มุ่งหน้าสู่การขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยรุ่น AMG ใน G500 ที่ได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพโดยสำนักแต่ง AMG กำลังเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นเป็น 272 แรงม้า ความเร็วสูงสุดของออฟโรดทรงกล่องอยู่ที่ 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือว่าเป็นความเร็วที่สูงมากสำหรับรถยนต์ออฟโรดในช่วงปี 1995 การปรับแต่งของ AMG มีแนวโน้มที่จะผลักดันขีดจำกัด รวมถึงการออกแบบอุปกรณ์ต่างๆ ของตัวรถ มีการคาดเดากันว่า G-Class จะมีประสิทธิภาพการทรงตัวเหมือนกับรถถนนของ AMG แต่กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากธรรมชาติของ G-Class เป็นรถอเนกประสงค์ที่มีจุดศูนย์ถ่วงค่อนข้างสูง เจ้า G-Class จึงไม่สามารถถ่ายทอดประสบการณ์การขับขี่แบบรถสปอร์ตของ AMG ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนรถรุ่นอื่น ในขณะที่ Land-Rover มีแบรนด์ Range Rover ซึ่งเป็นโมเดลที่เพิ่มความหรูหราโดดเด่นมีสไตล์ Mercedes-Benz สวนกลับด้วย G-Class รุ่นใหม่ที่ทันสมัยและบึกบึน ใช้เครื่องยนต์ที่มีความจุมากกว่า ติดตั้งดิสก์เบรกที่มีการระบายความร้อนดีขึ้น ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS, ถุงลมนิรภัย, ระบบปรับตั้งและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ โดยผลิตออกมาขายให้กับเศรษฐีที่ชอบใช้ชีวิตกลางแจ้งขาลุยที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวไปในเส้นทางทุรกันดาร มากกว่าจะนั่งวางท่าบนรถอเนกประสงค์สไตล์อังกฤษที่ขับใช้งานอยู่แต่ในเมือง

เมื่อถึงศตวรรษที่ 21 G-Class หันมาใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบแบบ V8 กำลัง 250 แรงม้า ในรุ่น G400 ในศตวรรษที่ 21 ความสะดวกสบายและความทันสมัยเริ่มแพร่ระบาดอย่างรุนแรงในรถยนต์ราคาแพง โทรศัพท์เคลื่อนที่และระบบควบคุมสภาพอากาศแบบอัตโนมัติถูกติดตั้งใน G-Class รุ่นใหม่ล่าสุด เป็นรถอเนกประสงค์ทรงเหลี่ยมที่จะทำให้คนมีเงินหมดความสงสัยว่าจะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไรหากปราศจากความสะดวกสบายในศตวรรษที่ 20!!  

ครบรอบ 25 ปีของโมเดล G-Class เดินทางมาถึงในปี 2004 มีการสร้างรถรุ่นพิเศษ ด้วยรถรุ่น G55 AMG Kompressor เครื่องยนต์ V8 กำลัง 476 แรงม้า อัปเกรดพวงมาลัยและช่วงล่างใหม่หมด ดูเหมือนว่ากำลังแรงม้าทั้ง 476 ตัวใน G55 นั้นไม่เพียงพอต่อความต้องการของเศรษฐีเท้าหนัก ในเดือนกรกฎาคมของปี ค.ศ. 2006 G55 ถูกอัปเกรดกำลังเป็น 500 แรงม้า พร้อมแรงฉุดลากหรือแรงบิดมหาศาลที่ 516lb / ft (700 นิวตันเมตร) อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนน้ำหนักตัว 2.3 ตัน ดันได้ถึง 5.5 วินาที เป็นเอสยูวีตัวเต็มที่มีฝีเท้าจัดจ้านเอาเรื่องเลยทีเดียว 

ปี ค.ศ. 2006 G-Wagen และ G-Class สามารถขายได้มากกว่า 185,000 คัน ความต้องการของลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในกลุ่มรถยนต์ออฟโรดเอสยูวีที่ใช้รูปลักษณ์อันทันสมัยไว้หลอกล่อลูกค้า แต่ Mercedes-Benz ยังต้องการรักษาฐานลูกค้าเก่าที่มีเงินเยอะด้วยการตัดสินใจที่จะเดินหน้าผลิต G-Class ตัวถังคลาสสิกทรงเหลี่ยมต่อไป ตามมาด้วยการเปิดตัวรถรุ่น G320 CDI เครื่องยนต์ดีเซลมาตรฐานยูโร 4 พร้อมชุดส่งกำลังแบบใหม่ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC

G-Class รุ่นใหม่นี้มาพร้อมกับคุณสมบัติด้านระบบความปลอดภัยแบบใหม่ครบครัน รวมถึงอุปกรณ์ยึดที่นั่งสำหรับเด็ก ISOFIX สีพิเศษที่ทนทานต่อการขีดข่วน แม้ว่าจะมีรูปแบบของตัวถังในสไตล์อนุรักษนิยมพร้อมประสิทธิภาพการขับใช้งานที่เน้นทางทุรกันดารมากกว่าจะเอามาใช้งานในเมือง แต่ความหรูหราและความทนทานของ G-Wagen ดั้งเดิมก็ยังคงมีอยู่ท่ามกลางความทันสมัยของเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนพร้อมความหรูหราของงานตกแต่งภายใน

ปี 2008 Mercedes-Benz G500 วางเครื่องยนต์เบนซินรุ่นใหม่ขนาด 5.5 ลิตร แบบ V8 รหัส M273 พร้อมกำลัง 388 แรงม้า และแรงบิด 391lb / ft (530 นิวตันเมตร) G500 ประจำปี 2008 รุ่นนี้มีคุณสมบัติเพิ่มขึ้น จากรูปแบบของการสนับสนุนด้วยระบบสมองกลอิเล็กทรอนิกส์ ติดตั้งล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ในขณะที่พลังของ AMG G55 เครื่องยนต์ V8 เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเป็น 507 แรงม้า ล้ออัลลอยของ AMG ขอบ 19 นิ้ว ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนทุกวันนี้ AMG G55 ได้รับการติดตั้งระบบรักษาเสถียรภาพ ESP® ในฐานะที่เป็นรถอเนกประสงค์รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพด้านแรงบิดมากกว่าเดิม 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพลังแรงบิดของเครื่องยนต์นั้นมีประโยชน์มากสำหรับการลากจูงรถพ่วงหรือเทรลเลอร์เรือ G-Class นั้นไม่ได้เป็นเครื่องจักรความเร็วสูงแม้ว่ามันจะมีกำลังล้นเหลือในบางรุ่นก็ตาม หากขับเคลื่อนแบบอนุรักษนิยมไปเรื่อยๆ จะเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่สะดวกสบาย แต่ถ้าขับเร็วเมื่อไหร่ก็จะมีความตื่นเต้นตามมาทันที

ปี 2009 เป็นช่วงเวลาที่กองทัพออสเตรเลียจะได้รับมอบ G-Class 6 ล้อหรือ รุ่น 6 × 6 กองกำลังของออสเตรเลียใช้รถบรรทุก 6 ล้อในยานพาหนะทางทหาร หลายปีก่อนหน้านี้ หลังจากใช้ Land-Rovers ที่ดัดแปลง นับเป็นครั้งแรกที่ G-Class 6 × 6 ถูกส่งมอบในช่วงครบรอบสามสิบของการผลิต G-Wagen / G-Class

AMG G63 ถูกสร้างขึ้นจากการนำ Mercedes-Benz G550 มาปรับแต่ง เครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 5.5 ลิตร แบบ V8 ทวินเทอร์โบกำลัง 536 แรงม้า ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าขับง่ายแถมยังแรงระเบิดระเบ้อ มันไม่ใช่แค่ยานพาหนะที่จะทำให้เจ้าของรู้สึกสบายและเร็ว แต่น่าประหลาดใจที่มันขนาดนั้นแต่ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของเศรษฐีที่นิยมรถแรง

ปี 2016 AMG ผลิต G-Class รุ่น G65 ซึ่งขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์เบนซินไซส์ยักษ์ที่อัดอากาศด้วยเทอร์โบชาร์จคู่ เครื่อง V12 ขนาดความจุ 6.0 ลิตร มีกำลังสูงถึง 621 แรงม้า ความเร็วสูงสุดของยักษ์ปักหลั่นคันนี้ทะยานไปได้ถึง 200 กม. / ชม. (อย่าลืมว่ามันหนักถึง 2.5 ตัน) พร้อมเข็มมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทิ้งดิ่งทันทีเมื่อใช้โหมด Sport

อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงของ AMG G65 ทำได้ 5.2 วินาที เบรกของ AMG G65 นั้นมีประสิทธิภาพสูงมาก เบรกหน้าแบบ 6 พอต พร้อมจานเบรก 14.9″ เบรกหลังแบบซิงเกิลพอต พร้อมจานเบรก 13 นิ้วที่ด้านหลัง เมื่อเปิดตัวในสหรัฐอเมริกา AMG G65 ขายในราคาสูงถึง 217,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับโมเดลพื้นฐาน และหากคุณต้องการแพ็กเกจเพิ่มประสิทธิภาพของ AMG จะต้องควักเงินเพิ่มอีกสองหมื่นดอลลาร์ ราคาดังกล่าวยังไม่รวมภาษีนำเข้า 300% ของไทย! 

ในปี 2019 Mercedes-Benz เปิดตัว New G-Class ที่ยังคงใช้เรือนร่างสไตล์คลาสสิกเหมือนเดิม คุณสมบัติการจัดการของ G-Class รุ่นใหม่ หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือการออกแบบช่วงล่างด้านหน้าใหม่เพื่อปรับให้ระบบกันสะเทือนแบบดับเบิ้ลวิชโบนทำงานอิสระอย่างเต็มที่ในทุกสภาพเส้นทางพร้อม Air Suspension ที่สามารถปรับระดับความสูงได้อย่างอัตโนมัติ ในที่สุด G-Class รุ่น G500 เครื่องยนต์เบนซิน V8 ทวินเทอร์โบ จิบน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 12 ลิตรต่อระยะทาง 100 กม. เป็นตัวเลขที่น่าทึ่งซึ่งเกิดขึ้นจากประสิทธิภาพของระบบส่งกำลัง 9G-TRONIC สำหรับ G-Class รุ่นใหม่เครื่องยนต์ดีเซล ในรุ่น G350D ซึ่งถูกเปิดตัวในประเทศไทยไปสดๆ ร้อนๆ เครื่องยนต์ดีเซลแถวเรียง 6 กระบอกสูบ เทอร์โบคู่ มีสมรรถนะในด้านความประหยัดเหนือกว่า ด้วยตัวเลขอัตราสิ้นเปลือง 9.8 ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร แต่จะไปสนอัตราสิ้นเปลืองทำไมในเมื่อต้องจ่ายเงินมากถึง 8.6 ล้านบาท เพื่อแลกกับ G350D ด้วยเงินจำนวนมากขนาดนั้น ค่าน้ำมันคงไม่ใช่ปัญหาของเจ้าของรถอย่างแน่นอนที่สุด

นอกจากนี้ G-Class ยังมีซุปเปอร์เอสยูวีรุ่นใหม่ AMG G63 วางเครื่องยนต์เบนซิน V8 bi-turbo ขนาด 4.0 ลิตร ให้กำลังมากถึง  577 แรงม้า Mercedes AMG อธิบายถึงผลกระทบของจักรกลรุ่นนี้ว่า การเดินทางทุกครั้งใน G63 คุณจะได้ยินเสียงกรีดร้องของเครื่องยนต์และยาง ช่วงล่างด้านหน้าแบบใหม่ ระบบเบรกที่มีขีดความสามารถมากกว่าเดิม อุปกรณ์ต่างๆ ออกแบบให้มีความเหมาะสมกับการขับเดินทางแบบผจญภัย พร้อมระบบความปลอดภัยที่สมเหตุสมผล

Mercedes-Benz G-Wagen ซึ่งต่อมากลายเป็น G-Class ได้อยู่คู่กับโลกใบนี้มานานกว่าสี่สิบปีแล้ว เป็น 40 ปีที่คุณจะไม่มีวันได้พบกับร่องรอยของความล้าสมัย เป็นรถที่ได้รับทั้งคำชมและคำด่า ดูเหมือนเวลาที่ผ่านไปจะทำให้ G-Class มีความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ รถ G-Wagen และ G-Class ได้พิสูจน์แล้วว่า เป็นการออกแบบไร้กาลเวลา และ Mercedes จะยังคงสร้างมันต่อไปอีกสี่สิบปี นี่คือรถยนต์ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในสิ่งที่ลูกค้ามหาเศรษฐีต้องการ เป็นรถยนต์ที่แสดงออกถึงฐานะอันมั่นคงและความน่าเชื่อถือที่มาพร้อมกับความมั่งคั่ง เป็นยานพาหนะที่จะพาคุณไปและนำคุณกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย.


อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/

Let's block ads! (Why?)



"การติดตั้งเสร็จสมบูรณ์" - Google News
July 03, 2020 at 10:00AM
https://ift.tt/3eUORfj

ย้อนรอยประวัติศาสตร์เจ้าพ่อออฟโรด MERCEDES-BENZ G-WAGEN (G-CLASS) - ไทยรัฐ
"การติดตั้งเสร็จสมบูรณ์" - Google News
https://ift.tt/2BfqeLa
Home To Blog

1 comment:

  1. ฉันเคยไปที่งานแสดงรถยนต์นี้และฉันก็รู้สึกดีมากฉันเสียใจที่ปีนี้ฉันไม่ได้ไป2020 International Motor Showเนื่องจากโรคระบาด แต่หลังจากอ่านข่าวมันก็ค่อนข้างดี

    ReplyDelete